วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

SlipKnoT


ประวัติ ไมเคิล แองเจโล


ไมเคิลแองเจโลdi Lodovico Buonarroti Simoni






ไมเคิลแอนเจโลหรือมิเคลันเจโล บูโอนารอตติ (MICHELANGELO di Lodovico Buonarroti Simoni ) ศิลปินชาวฟลอเรนซ์เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 ที่หมู่บ้านคาเปรเซ (Caprese) ในคาเซนติโน (Casentino) ห่างจากนครฟลอเรนซ์ประมาณ 40 ไมล์ บิดาเป็นข้าราชการชื่อ Lodovico di Leo nardo Buonarrot มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1446-1531 มารดาชื่อ Francesa di Neri มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1455-1481 หลังจากเขาเกิดได้ 2-3 สัปดาห์ ครอบครัวก็อพยพเข้าไปอยู่ในนครฟลอเรนซ์ ในปี ค.ศ. 1488 มิเคลันเจโลก็ได้เข้าฝึกงานกับโดมิเนโก จิร์ลันไดโอ (Domemico Ghirlandaio) จิตรกรชาวฟลอเรนซ์ผู้เชี่ยวชาญในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบปูนเปียกหรือเฟรสโก ( Fresco ) ต่อมาเขาได้ใช้ความรู้นี้เมื่อเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วิหารซิสติน ( The Sistine Chapel ) ในวาติกันในอีก 20 ปีถัดมา ระหว่างสามปีที่ฝึกงานอยู่ที่มิเคลันเจโลได้ศึกษางานจิตรกรรมและวาดเส้นด้วยการลาออกงานจิตรกรรมของสิลปินรุ่นก่อน ๆ ได้แก่ คัดลอกผลงานจิตรกรรมของจอตโต ( Giotto di Bondone จิตรกรมชั้นครูชาวฟลอเรนซ์ยุคแรก ๆ มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1266-1337) และมาที่แวคซิดอ ( Tommaso di Ser Giovan ni di Mone เรียกกันโดยทั่วไปว่า Masaccio เป็นจิตรกรรมเรเนสซองค์ยุคแรก เกิดเมื่อค.ศ. 1401- ไม่ทราบปีที่ถึงแก่กรรม ) เป็นการฝึกฝนและการศึกษางานจิตรกรรมขั้นพื้นฐาน ต่อมาในปี ค.ศ. 1489 มิเคลันเจโลได้เข้าเรียนและฝึกงานในสายตระกูลเมตดิชิ ซึ่งมีลักษณะโรงเรียนคล้ายศิลปะ ต่อมาได้พัฒนามาเป็นสถาบันศิลปะหรือ อะคาเดมี ( Academy ) ภายใต้การอุปถัมภ์ของ ลอเรนโซ ( Lorenzo de Medici หรือ Lorenzo the Magnificent ) อันเป็นโอกาสสำคัญทำให้มริเคลันเจโลได้ศึกษางานประติมากรรมของกรีกและโรมันที่ตระกูลเมดิชิสะสมไว้นอกจากนี้เขายังได้สมาคมกับศิลปิน นักปรัชญาและกวีคนสำคัญ ๆ ในยุคนั้น การได้คบหาสมาคมกับบุคคลเหล่านั้นทำให้เขาได้รับอิทธิพลทางความคิดปรัชญามาผสมผสานกับแนวคิดในการสร้างสรรค์งานศิลปะของตน แทนที่ให้ความสำคัญกับทักษะฝีมือเท่านั้น
หลังจากตระกูลเมดิชิหมดอำนาจลง ในปีค.ศ.1492มิเคลันเจโลได้เดินทางไปเมืองโบโลญา เพื่อรับจ้างทำงานประติมากรรมประดับสุสาน ต่อมาระหว่างปี ค.ศ. 1496-1501 เขาได้เดินทางไปพำนักอยุ่นกรุงโรม เพื่อรับจ้างเขียนรูปและรับงานประติมากรรมต่างๆ ในช่วงเวลานี้เองเขามีโอกาสสร้างผลงานสำคัญที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาได้รับการกล่าวขวัญในฐานะประติมากรยิ่งใหญ่แห่งยุค คือ ประติมากรรมหินอ่อน “ ปิเอตา ” ( Pieta ) ซึ่งเป็นพระเยซูนอนอยุ่บนตักพระแม่มาเรียสลักหินอ่อนเนื้อขาวบริสุทธิ์สุง 5 ฟุต 9 นิ้ว แสดงให้เห็นความสามารถในการแกะสลักที่มีฝีมือสูงยิ่งและแฝงไว้ด้วยปรัชญาของคริสต์ศาสนางานประติมากรรมชิ้นนี้ปัจจุบันชิ้นอยู่ที่โบสถ์เวนตืปีเตอร์กรุงโรมเมื่อแกะสลักรูปปีเอตาเสร็จแล้วเขาได้เดินทางกลับฟลอเรนซ์ในปีค.ศ.1501เพื่อรับงานแกะสลักหินอ่อนที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือ ประติมากรรมหินอ่อนรูป “ เดวิด ” ( David ) ซึ่งแกะสลักจากแท่งหินอ่อนขนาดใหญ่ยาวประมาณ 18 ฟุต เป็นแท่งหินอ่อนเก่าแก่ที่วางทิ้งไว้โดยไม่มีประติมากรคนใดกล้าแกะสลัก มิเคลันเจโลใช้เวลาถึง 4 ปี เพื่อนฤมิตรแท่งหินอ่อนก้อนใหญ่นี้ให้เป็นชายหนุ่มรูปงามและเมื่อเขาแกะสลักรูปเดวิดเสร็จมิเคลันเจดลกลายเป็นวีรบุรุษของชาวฟลอเรนซ์มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วอิตาลี(รูปเดวิดได้ทำจำลองขึ้นหลายรูปรูปต้นแบบปัจจุบันอยู่ที่ Gallerlia dellAcademiaนครฟลอเรนซ์เป็นศิลปกรรมเด่นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดชิ้นหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้ มิเคลันเจโลหรือไมเคิลแอนเจโลเกิดมาเพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างแท้จริงเขาทำงานศิลปะอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงสองสามวันก่อนที่จะถึงแก่แรรมในวันที่18กุมภาพันธ์ ค.ศ.1564 เวลาประมาณ 16.30 น. ที่บ้านพักกรุงโรม อายุ 89 ปี ขณะที่แกะสลักงานประติมากรรมหินอ่อนชื่อ “ ปิเอตา รอนดานินี ” (Pieta Rondanini) ค้างอยู่ หลังจากถึงแก่กรรมแล้วศพถูกนำไปฝังไว้ที่โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ซึ่งเขาเป็นผู้ออกแบบแต่ไม่สามารถกระทำได้เพราะLeonardo Buonarroti หลานชายของเขาได้นำศพมิเคลันเจโล กลับไปฝังที่โบสถ์SantiApostoliในนครฟลอเรนซ์ถิ่นกำเนิดของเขาในวันที่ 10 มีนาคมปีเดียวกัน

ประวัติ ราฟาเอล ผู้เก่งกาจ


หนูน้อยจากเมืองอูร์บิโนราฟาเอล ไม่ใช่ชาวฟลอเรนซ์โดยกำเนิดเหมือนอย่าง เลโอนาร์โด ดา วินชี และ มิเคลันเจโล เขาเกิดในเมืองบนภูเขาแห่งหนึ่ง ชื่อเมืองอูบิโน ในปี พ.ศ.2026 บิดาของเขาชื่อ โจวันนี สันตี เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงบ้างเหมือนกัน โดยมักได้รับการว่าจ้างจากท่านดยูคแห่งอูร์บิโน ให้เขียนภาพต่างๆเสมอมา ท่านดยูคผู้นี้มีพระราชวังโอ่อ่า ที่ประดับประดาด้วยภาพเขียนของศิลปินเฟลมิชและศิลปินอิตาลีไว้มากมาย ชีวิตวัยเด็กของ ราฟาเอล เป็นที่รู้กันไม่มากนัก มารดาของเขาถึงแก่กรรมเมื่อเขาอายุได้ 8 ปี และเมื่อเขาอายุได้ 11 ปี บิดาของเขาก็ถึงแก่กรรมลงอีก. เมื่อเขาเขียนภา พพระแม่กับพระบุตรบนผนังบ้านบิดาของเขานั้น เขายังเป็นเด็กหนุ่มตัวน้อยๆเท่านั้นเอง บิดาของราฟาเอล ได้รับมอบหมายให้เขาไปปรนนิบัติศิลปินท้องถิ่นคนหนึ่ง ที่ชื่อ เอวานเกลิสตามิเลเต ครั้นถึง พ.ศ. 2038 เขาเริ่มไปมาหาสู่กับจิตรกร เปรูจิโน ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้นเปรูจิโน ก็คล้ายกันกับ เลโอนาโด ดา วินชี นั่นเอง กล่าวคือต่างเคยเป็นศิษย์ของศิลปิน เวอร์รอกคิโอ คนเดียวกัน และมาบัดนี้ตัวเองก็กลายเป็นผู้ประสบผลสำเร็จอีกคนหนึ่ง เขามีสำนักศิลปะอยู่ใน นครเปรูจา และฟลอเรนซ์ เราไม่ทราบว่า ราฟาเอล จะเคยอาศัยอยู่ในบ้านของ เปรูจิโน ด้วยเลยหรือเปล่า แต่พวกเรารู้ว่าตอนที่อายุ 17 ปีนั้น เปรูจิโน ให้เขาเป็นผู้ช่วยฝึกเขียนภาพแก่สานุศิษย์ของท่านด้วย พวกเราเรียนรู้ว่าในปี พ.ศ. 2047 ราฟาเอล กลายเป็นจิตรกรที่ทรงคุณวุฒิบริบูรณ์แล้ว เขาเขียนภาพ "การวิวาห์ของพระแม่พรหมจาริณี" เมื่ออายุได้เพียง 20 ปี ภาพนี้แสดงให้เห็นว่ามีความเยี่ยมยอดเชิงศิลปะแฝงอยู่มากทีเดียว และ ราฟาเอล ก็รู้สึกภาคภูมิใจถึงกับเซ็นชื่อของเขาและปีที่เขียนภาพนี้ ลงไปบนด้านหน้าของวิหารซึ่งเป็นส่วนที่มีความเด่นเหนือกว่าส่วนใดในภาพนี้ ทั้งหมด ราฟาเอลมั่นใจว่าเขาจะต้องได้เห็นผลงานศิลปะอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีสร้างกันอยู่ ในนครฟลอเรนซ์ในสมัยนั้น ครั้นแล้วในปี พ.ศ. 2047 นั่นเอง เขาก็ได้ย้ายไปอยู่ในนครดังกล่าว
ศิลปินสมณะ
รา ฟาเอล มาถึงนครฟลอเรนซ์พร้อมด้วยจดหมายแนะนำตัวต่อท่านหัวหน้าผู้พิพากษา ในจดหมายฉบับนี้ใด้พรรณนาสรรพคุณตัวเขาในฐานะที่เป็น "บุคคลที่สุภาพอ่อนโยนและมีความสุขุมคัมภีรภาพ" หัวหน้าผู้พิพากษาผู้นี้คือ ปิเออร์ โซเดรินี นายกเทศมนตรีคนก่อน ผู่ซึ่งเคยวิจารณ์จมูก "ดาวิด" ของมิเคลันเจโลมาแล้วคุณอาจจะหาอ่านจากบทอื่นๆในหนังสือเล่มนี้ได้ว่า ในปี พ.ศ. 2047 เป็นปีที่ เลโอนาร์โด ดา วินชี กำลังเขียนภาพ "โมนาลิซา" ของเขาอยู่นอกจากนั้นยังอยู่ระหว่างการเขียนภาพประดับห้องประชุมแห่งใหม่ ร่วมกับ มิเคลันเจโล ด้วย ราฟาเอล จะต้องเคยตื่นตาตื่นใจกับการได้เห็นภาพเขียนเหล่านี้ในนครฟลอเรนซ์มาก่อน แล้วเป็นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาประทับใจในความเรียบง่ายและนุ่มนวลจากผลงานของ เลโอนาร์โด และยังสังเกตถึงวิธีจัดกลุ่มรูปคนของท่านให้มีรูปเป็นสามเหลี่ยม และกรวยเหลี่ยมด้วย ภายหลังจากที่ได้ไปเห็นภาพสีปูนเปียกของ มิเคลันเจโล ในกรุงโรมแล้ว เขาจึงได้รับอิทธิพลศิลปินใหญ่ผู้นี้อีก. นอกจากนั้นราฟาเอล ยังเคยได้ไปพบปะกับพระ ฟรา บาร์โตลอมเมโอ ในนครเวนิช พระคุณเจ้ารูปนี้ได้สั่งสอนเขาให้รู้เรื่องเกี่ยวกับสีและทัศนียวิสัยในภาพเขียนอีกมากมายทีเดียว บาร์โตลอมเมโอ เป็นหนึ่งในบรรดาจิตรกรชาวอิตาลีหลายคนในสมัยนั้น ที่ดำรงอยู่ในสมณเพศ ราฟาเอล เยี่ยมเยีอนต่อไปยังนครเปรูจาซึ่งไม่ไกลจากนครฟลอเรนซ์เท่าไรนักและเริ่มต้น เขียนภาพที่นี่จนเสร็จสมบูรณ์ไปหลายภาพ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "จิตรกรที่ดีที่สุดในเมืองเปรูจา" แต่ในนครฟลอเรนซ็ เขาถูกบดบังโดยรัศมีอัจฉริยะของ มิเคลันเจโล และ เลโอนาร์โด ดา วินชี ในนครฟลอเรนซ์งานว่าจ้างซึ่งมาให้ราฟาเอล ทำก็มีแต่งานเขียนภาพเหมือนและภาพพระแม่กับพระบุตรเท่านั้น ซึ่งภาพชนิดหลังนี้ ผู้คนจะเก็บรักษาไว้ในบ้านเพื่อการสักการบูชาเป็นการส่วนตัว ราฟาเอลเป็นบุคคลที่ชอบเรียนรู้จากศิลปินอื่นๆในสิ่งที่เขาสามารถทำได้ ทั้งนี้จะเป็นไปด้วยความรอบคอบระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ในนครฟลอเรนซ์เขาได้พัฒนาผลงานศิลปะของตัวเองอย่างเงียบๆจนกลายเป็นจิตรกร ที่มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552

ประวัติ ลีโอนาโด ดาวินชี


ลีโอนาโด ถือกำเนิดขึ้น ในวันที่ 15 เมษายน ปีคริสตศักราชที่ 1452 ในวินซี ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองฟลอเรนสซ์ ประเทศอิตาลี เขาเป็นบุตรนอกกฎหมายของ ปิเอโร ดาวินซี เจ้าพนักงานพิสูจน์ และรับรองเอกสาร แห่งเมืองฟลอเรนสซ์ กับหญิงสาวที่ชื่อ แคทเธอรีน พรสวรรค์ในทางศิลปะของลีโอนาโดนั้น ได้แสดงออก ตั้งแต่เขายังอยู่ในวัยเด็ก ในปี ค.ศ.1469 นั้น เขาได้ไปฝึกงานกับ อังเดรย์ เวอรอคชิโอ ซึ่งเป็นศิลปินเอกในสมัยนั้น ณ ที่นั้นเอง ลีโอนาโด ได้ฝึกฝนและเพิ่มความเก่งกาจ เชี่ยวชาญในงานต่างๆ เขาฝึกงานที่นั้นไปจนถึงปีค.ศ. 1476 และได้เข้าร่วมเป็น สมาชิกของสมาคมจิตรกรในปี ค.ศ.1472 ผลงานต่างๆ ที่ตกทอดมาสู่สายตา ของคนรุ่นหลังก็ได้เริ่มมาจากจุดนี้นี่เอง
ในปี ค.ศ.1478 เขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้วาดภาพให้กับ พาลาสโซ เวคชีโอ ในเมืองฟลอเรนสซ์ เป็นภาพการนำของมาถวายแด่พระกุมาร โดยนักปราชย์ทั้งสาม จากทิศบูรพา แต่งานนี้ก็ต้องหยุดชะงักไป เพราะลีโอนาโดได้ตัดสินใจออกจากฟลอเลนซ์ เพื่อไปยังมิลาน เมื่อปี ค.ศ.1482 และได้ไปทำงาน ให้กับท่านดยุ๊ค โลโดวิโก สฟอร์ซา ซึ่งในตอนนี้ลีโอนาโดก็มีอายุได้ 18 ปีพอดี ถึงแม้ว่าจะต้องทำงานให้กับราชสำนัก ด้วยการ เขียนภาพเหมือน การจัดงานแสดง รวมทั้งสร้างรูปจำลองของบิดาของท่านดยุ๊ค ในท่าทรงม้าด้วยก็ตาม แต่ลีโอนาโด ก็ยังทุ่มเทความสนใจให้กับเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานศิลปะด้วย เขาได้เพิ่มพูนความรู้ทางด้านกลศาสตร์ให้กับตนเอง โดยการทำงานเป็นวิศวกรให้กับฝ่านพลเรือน และฝ่ายทหาร จากนั้นเริ่มศึกษาค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเน้นทางด้าน กายวิภาค ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และฟิสิกข์ และแม้ว่าลีโอนาโดจะให้ความสนใจ ในหลายสิ่งหลายอย่างก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดงานเขียนชิ้นที่สำคัญที่สุดไปได้ นั่นก็คือ การเขียนภาพ "อาหารค่ำมื้อสุดท้าย" ( The Last Supper ) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
เมื่อมิลานตกเป็นของฝรั่งเศษ ในปี ค.ศ.1499 ลีโอนาโดได้ออกจากมิลานเพื่อไปหา งานทำที่อื่น โดยเริ่มไปที่เมืองมองทัวส์ และเมืองเวนิส แต่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน ก็กลับมาที่ฟลอเรนสซ์อีก โดยทำงานเป็นคนเขียนแผนที่ และเป็นวิศวกรทหาร ให้กับ ซีสาร์ บอร์จีอา และในปีค.ศ.1503 ลีโอนาโดได้สร้างงานศิลปะที่สำคัญๆเอาไว้มากมาย ตัวอย่างเข่น ภาพเขียนบนฝาผนังในเรื่องของ สงคราม ( Battle of Anghiari ) ซึ่งเขียนติดไว้ที่ห้องโถงของสภาในตัวเมือง รูปโมนาลิซ่า (Portrait of Mona Lisa) อันเลื่องชื่อ และภาพของการหายไปของเลด้า และหงส์ ( Lost Leda and The Swan ) ในช่างนี้เขาได้ให้ความสนใจกับการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยทุ่มเท การค้นคว้าในเรื่องของกายวิภาคอย่างหนัก จนถึงขนาดผ่าตัดเอาอวัยวะจริงมาศึกษา เขาศึกษาการบินของนกอย่างละเอียด
ลีโอนาโดถูกเรียกตัวกลับมาที่มิลานอีกครั้ง ในเดือนมิถุนายนของปี ค.ศ.1506 เพื่อมาทำงานให้กับรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศษ เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่มิลานเป็นเวลาถึง 7 ปี ผลงานศิลปะในช่วงนี้ ก็เป็นการสร้างรูปจำลองให้กับ จีอัน จีอาโดโม ตรีวูชีโอ และก็เช่นเดียวกับการสร้างให้ท่านดยุ๊คสฟอร์ซา คือ ลีโอนาโดก็ไม่สร้างให้เสร็จ ในตอนนี้นั้นการค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ของลีโอนาโด เริ่มมีอิทธิพลเหนือด้านอื่นๆ พรสวรรค์ทางด้านศิลปะของเขานั้นถูกใช้ไปกับการวาดภาพ ประกอบการค้นคว้า ทางวิทยาศาสตร์ของเขา โดยถ่ายทอดเอารายละเอียดความเข้าใจในส่วนต่างๆ ของโครงสร้างลงในภาพ ในปี ค.ศ. 1513 เขาได้ติดตามพี่ชายของพระสันตปาปาลีโอที่ 10 ที่ชื่อว่า จียูลิอาโน เดอะเมดีซี เพื่อไปยังกรุงโรม และใช้เวลาอยู่ที่นั่น 3 ปี โดยหมกหมุ่นอยู่กับการค้นคว้าทางทฤษฎีมากขึ้นเรื่อยๆ และในปี 1516-1517 นั้น ลีโอนาโดได้ออกจากอิตาลีไปโดยไม่ได้กลับมาอีก เขาไปทำงานเป็นที่ปรึกษาทาง สถาปัตยกรรมให้กับกษัตริย์ ฟรังซิสที่ 1 แห่งฝรั่งเศษผู้ซึ่งยกย่องในตัว ลีโอนาโดมาโดยตลอด ลีโอนาโดเสียชีวิตที่ประเทศฝรั่งเศษ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1519 รวมอายุได้ 67 ปี +++++++++++++++++++++