วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

ประวัติ ราฟาเอล ผู้เก่งกาจ


หนูน้อยจากเมืองอูร์บิโนราฟาเอล ไม่ใช่ชาวฟลอเรนซ์โดยกำเนิดเหมือนอย่าง เลโอนาร์โด ดา วินชี และ มิเคลันเจโล เขาเกิดในเมืองบนภูเขาแห่งหนึ่ง ชื่อเมืองอูบิโน ในปี พ.ศ.2026 บิดาของเขาชื่อ โจวันนี สันตี เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงบ้างเหมือนกัน โดยมักได้รับการว่าจ้างจากท่านดยูคแห่งอูร์บิโน ให้เขียนภาพต่างๆเสมอมา ท่านดยูคผู้นี้มีพระราชวังโอ่อ่า ที่ประดับประดาด้วยภาพเขียนของศิลปินเฟลมิชและศิลปินอิตาลีไว้มากมาย ชีวิตวัยเด็กของ ราฟาเอล เป็นที่รู้กันไม่มากนัก มารดาของเขาถึงแก่กรรมเมื่อเขาอายุได้ 8 ปี และเมื่อเขาอายุได้ 11 ปี บิดาของเขาก็ถึงแก่กรรมลงอีก. เมื่อเขาเขียนภา พพระแม่กับพระบุตรบนผนังบ้านบิดาของเขานั้น เขายังเป็นเด็กหนุ่มตัวน้อยๆเท่านั้นเอง บิดาของราฟาเอล ได้รับมอบหมายให้เขาไปปรนนิบัติศิลปินท้องถิ่นคนหนึ่ง ที่ชื่อ เอวานเกลิสตามิเลเต ครั้นถึง พ.ศ. 2038 เขาเริ่มไปมาหาสู่กับจิตรกร เปรูจิโน ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้นเปรูจิโน ก็คล้ายกันกับ เลโอนาโด ดา วินชี นั่นเอง กล่าวคือต่างเคยเป็นศิษย์ของศิลปิน เวอร์รอกคิโอ คนเดียวกัน และมาบัดนี้ตัวเองก็กลายเป็นผู้ประสบผลสำเร็จอีกคนหนึ่ง เขามีสำนักศิลปะอยู่ใน นครเปรูจา และฟลอเรนซ์ เราไม่ทราบว่า ราฟาเอล จะเคยอาศัยอยู่ในบ้านของ เปรูจิโน ด้วยเลยหรือเปล่า แต่พวกเรารู้ว่าตอนที่อายุ 17 ปีนั้น เปรูจิโน ให้เขาเป็นผู้ช่วยฝึกเขียนภาพแก่สานุศิษย์ของท่านด้วย พวกเราเรียนรู้ว่าในปี พ.ศ. 2047 ราฟาเอล กลายเป็นจิตรกรที่ทรงคุณวุฒิบริบูรณ์แล้ว เขาเขียนภาพ "การวิวาห์ของพระแม่พรหมจาริณี" เมื่ออายุได้เพียง 20 ปี ภาพนี้แสดงให้เห็นว่ามีความเยี่ยมยอดเชิงศิลปะแฝงอยู่มากทีเดียว และ ราฟาเอล ก็รู้สึกภาคภูมิใจถึงกับเซ็นชื่อของเขาและปีที่เขียนภาพนี้ ลงไปบนด้านหน้าของวิหารซึ่งเป็นส่วนที่มีความเด่นเหนือกว่าส่วนใดในภาพนี้ ทั้งหมด ราฟาเอลมั่นใจว่าเขาจะต้องได้เห็นผลงานศิลปะอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีสร้างกันอยู่ ในนครฟลอเรนซ์ในสมัยนั้น ครั้นแล้วในปี พ.ศ. 2047 นั่นเอง เขาก็ได้ย้ายไปอยู่ในนครดังกล่าว
ศิลปินสมณะ
รา ฟาเอล มาถึงนครฟลอเรนซ์พร้อมด้วยจดหมายแนะนำตัวต่อท่านหัวหน้าผู้พิพากษา ในจดหมายฉบับนี้ใด้พรรณนาสรรพคุณตัวเขาในฐานะที่เป็น "บุคคลที่สุภาพอ่อนโยนและมีความสุขุมคัมภีรภาพ" หัวหน้าผู้พิพากษาผู้นี้คือ ปิเออร์ โซเดรินี นายกเทศมนตรีคนก่อน ผู่ซึ่งเคยวิจารณ์จมูก "ดาวิด" ของมิเคลันเจโลมาแล้วคุณอาจจะหาอ่านจากบทอื่นๆในหนังสือเล่มนี้ได้ว่า ในปี พ.ศ. 2047 เป็นปีที่ เลโอนาร์โด ดา วินชี กำลังเขียนภาพ "โมนาลิซา" ของเขาอยู่นอกจากนั้นยังอยู่ระหว่างการเขียนภาพประดับห้องประชุมแห่งใหม่ ร่วมกับ มิเคลันเจโล ด้วย ราฟาเอล จะต้องเคยตื่นตาตื่นใจกับการได้เห็นภาพเขียนเหล่านี้ในนครฟลอเรนซ์มาก่อน แล้วเป็นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาประทับใจในความเรียบง่ายและนุ่มนวลจากผลงานของ เลโอนาร์โด และยังสังเกตถึงวิธีจัดกลุ่มรูปคนของท่านให้มีรูปเป็นสามเหลี่ยม และกรวยเหลี่ยมด้วย ภายหลังจากที่ได้ไปเห็นภาพสีปูนเปียกของ มิเคลันเจโล ในกรุงโรมแล้ว เขาจึงได้รับอิทธิพลศิลปินใหญ่ผู้นี้อีก. นอกจากนั้นราฟาเอล ยังเคยได้ไปพบปะกับพระ ฟรา บาร์โตลอมเมโอ ในนครเวนิช พระคุณเจ้ารูปนี้ได้สั่งสอนเขาให้รู้เรื่องเกี่ยวกับสีและทัศนียวิสัยในภาพเขียนอีกมากมายทีเดียว บาร์โตลอมเมโอ เป็นหนึ่งในบรรดาจิตรกรชาวอิตาลีหลายคนในสมัยนั้น ที่ดำรงอยู่ในสมณเพศ ราฟาเอล เยี่ยมเยีอนต่อไปยังนครเปรูจาซึ่งไม่ไกลจากนครฟลอเรนซ์เท่าไรนักและเริ่มต้น เขียนภาพที่นี่จนเสร็จสมบูรณ์ไปหลายภาพ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "จิตรกรที่ดีที่สุดในเมืองเปรูจา" แต่ในนครฟลอเรนซ็ เขาถูกบดบังโดยรัศมีอัจฉริยะของ มิเคลันเจโล และ เลโอนาร์โด ดา วินชี ในนครฟลอเรนซ์งานว่าจ้างซึ่งมาให้ราฟาเอล ทำก็มีแต่งานเขียนภาพเหมือนและภาพพระแม่กับพระบุตรเท่านั้น ซึ่งภาพชนิดหลังนี้ ผู้คนจะเก็บรักษาไว้ในบ้านเพื่อการสักการบูชาเป็นการส่วนตัว ราฟาเอลเป็นบุคคลที่ชอบเรียนรู้จากศิลปินอื่นๆในสิ่งที่เขาสามารถทำได้ ทั้งนี้จะเป็นไปด้วยความรอบคอบระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ในนครฟลอเรนซ์เขาได้พัฒนาผลงานศิลปะของตัวเองอย่างเงียบๆจนกลายเป็นจิตรกร ที่มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น